เหตุผลที่ Hermès ยังคงเติบโตสวนทางกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เป็นเพราะกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างจากแบรนด์หรูอื่นๆ อย่างชัดเจน

1. กลุ่มลูกค้าที่ "กันกระสุน" จากภาวะเศรษฐกิจ กลุ่มลูกค้าหลักของ Hermès คือ กลุ่มมหาเศรษฐี (Ultra-High-Net-Worth Individuals) ที่มีกำลังซื้อสูงมาก และการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของพวกเขาเลย เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคระดับกลางถึงบนอาจลดลง แต่กลุ่มลูกค้าของ Hermès ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ ทำให้ยอดขายยังคงแข็งแกร่ง

2. กลยุทธ์ "ความขาดแคลนที่ถูกควบคุม" (Controlled Scarcity) นี่คือหัวใจสำคัญของ Hermès แบรนด์จะผลิตสินค้าในปริมาณที่จำกัดมาก โดยเฉพาะกระเป๋า Birkin และ Kelly ที่มีชื่อเสียง ทำให้เกิด "อุปสงค์เทียม" และสร้างความรู้สึกพิเศษ (Exclusivity) ให้กับสินค้า ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี สินค้าที่หายากและมีมูลค่าสูงในตลาดรอง (Resale Market) ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสมและนักลงทุน

3. การมุ่งเน้นงานฝีมือและคุณภาพที่ไม่มีใครเทียบ Hermès ยึดมั่นใน งานฝีมือระดับ Haute Couture และคุณภาพที่ไม่มีการประนีประนอม สินค้าของพวกเขาผลิตด้วยมือโดยช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ ทำให้สินค้ามีคุณค่าในตัวเองและถูกมองว่าเป็น "การลงทุน" มากกว่าแค่แฟชั่นชิ้นหนึ่ง สิ่งนี้สร้างความไว้วางใจและความภักดีจากลูกค้าที่ต้องการความคงทนและคุณค่าเหนือกาลเวลา

4. การกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ Hermès ไม่ได้พึ่งพารายได้จากตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป แต่มีการเติบโตที่แข็งแกร่งในหลายภูมิภาคทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวในจีน แต่ยอดขายในตลาดอื่นๆ ก็ยังคงแข็งแกร่งและช่วยหนุนการเติบโตโดยรวมของบริษัทไว้ได้

เฮอร์เมส (Hermès) ยังคงเป็นแบรนด์หรูที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องค่ะ แม้ว่าอุตสาหกรรมลักชัวรีโดยรวมจะเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา แต่เฮอร์เมสก็ยังทำผลงานได้ดีเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอ

ผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2025

• รายได้รวม: Hermès มีรายได้รวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 อยู่ที่ 8 พันล้านยูโร หรือประมาณ 2.99 แสนล้านบาท

• การเติบโต: รายได้เพิ่มขึ้น 8% (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024

• กำไรจากการดำเนินงาน: อยู่ที่ 3.3 พันล้านยูโร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 41.4% ของยอดขายทั้งหมด

รายได้รวมตลอดปี 2024

• รายได้รวม: ตลอดปี 2024 Hermès มีรายได้รวมสูงถึง 15,170 ล้านยูโร หรือประมาณ 5.3 แสนล้านบาท

• การเติบโต: รายได้เติบโตขึ้น 15% จากปี 2023

ยอดขายตามประเภทสินค้า (ข้อมูลปี 2024)

• เครื่องหนังและอานม้า (Leather Goods and Saddlery): เป็นสินค้าที่ทำรายได้สูงสุดและเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยมีการเติบโตสูงถึง 14-16.4%

• เสื้อผ้าและเครื่องประดับ (Ready-to-wear and Accessories): มีการเติบโตดีเช่นกันอยู่ที่ประมาณ 13.5-15%

• ผ้าไหมและสิ่งทอ (Silk and Textiles): เติบโตต่อเนื่อง

• น้ำหอมและความงาม (Perfume and Beauty): เติบโตดี

• นาฬิกา: เป็นหมวดหมู่เดียวที่มียอดขายลดลงเล็กน้อยในปี 2024

ยอดขายตามภูมิภาค (ข้อมูลปี 2024)

• ญี่ปุ่น: มีการเติบโตอย่างโดดเด่นสูงถึง 22.8%

• ยุโรป: เติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน

• อเมริกา: มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง

• เอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น): มียอดขายเติบโต แต่เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวในจีนช่วงปลายปี

สรุปคือ Hermès ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องหนังที่เป็นตัวทำรายได้หลัก และสามารถรักษาระดับการเติบโตได้ดีในทุกภูมิภาคทั่วโลก