Audemars Piguet แบรนด์นาฬิกาที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก มีประวัติศาสตร์ในการผลิตนาฬิกามาอย่างยาวนาน ด้วยความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีความสลับซับซ้อน เต็มเปี่ยมไปด้วยความประณีตและความงดงาม อีกทั้งยังได้เปิดตัวนาฬิกามาแล้วมากมาย โดยเฉพาะคอลเลกชันที่สะท้อนความเป็น Audemars Piguet ได้ดีที่สุด อย่าง Royal Oak ที่ทั่วโลกต่างก็รู้จักและอยากได้มาครอบครอง

ซึ่งในปี 2022 นี้ แบรนด์ Audemars Piguet ได้กลับมาพร้อม Royal Oak Offshore Selfwinding Music Edition นาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสตูดิโอบันทึกเสียงและโลกแห่งดนตรีสด ที่โดดเด่นด้วยหน้าปัดลายทาพิสเซอรี (Tapisserie) สี่เหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมแต่งเติมสีกราฟิกอีควอไลเซอร์ (Equaliser) ซึ่งเป็นเหมือนกราฟปรับความถี่ขึ้นลงของระบบเสียง ทำให้หน้าปัดนาฬิกาดูมีสีสันมากยิ่งขึ้นแต่ยังคงความสปอร์ตหรูไว้ได้เป็นอย่างดี โดยนาฬิการุ่นนี้จะมีทั้งหมด 3 วัสดุ และ 2 ขนาด

เริ่มต้นด้วยตัวเรือนวัสดุไทเทเนียม โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีน้ำเงินลายทาพิสเซอรี (Tapisserie) สี่เหลี่ยมนูน ประดับชุดเข็มและหลักชั่วโมงไวท์โกลด์ 18k ที่เคลือบสารเรืองแสงเพื่อให้สามารถอ่านเวลาในที่มืดได้อย่างชัดเจน มีการสลักลายบริเวณด้านข้างฝั่งขวาของตัวเรือนต่อจากที่ครอบปกป้องเม็ดมะยม ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากคันปรับตั้งของเครื่องมิกซ์เสียง มาพร้อมตัวเรือนไทเทเนียม ที่มีให้เลือก 2 ขนาด คือ 37 มิลลิเมตร จับคู่กับสายยางสีน้ำเงินตกแต่งลายโมเสก และขนาด 43 มิลลิเมตร จับคู่มากับสายยางสีน้ำเงินที่เข้ากับสีของหน้าปัดได้เป็นอย่างดี ส่วนด้านหลังตัวเรือนใช้วัสดุไทเทเนียมเผยให้เห็นการทำงานของกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 4309 ซึ่งสำหรับรุ่นขนาด 37 มิลลิเมตร จะสามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 60 ชั่วโมง มีราคาอยู่ที่ประมาณ 980,000 บาท และรุ่นขนาด 43 มิลลิเมตร จะสามารถสำรองพลังงานได้นาน 70 ชั่วโมง ในราคา 1,070,000 บาท โดยนาฬิการุ่นนี้ถูกผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 500 เรือนเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของ Audemars Piguet ที่ผสานเข้ากับดนตรีได้อย่างลงตัวและสวยงาม

ต่อมาเป็นรุ่นตัวเรือนเซรามิก โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีดำทาพิสเซอรี (Tapisserie) สี่เหลี่ยมนูน และมีรายละเอียดต่าง ๆ เหมือนกับรุ่นไทเนียม แต่ความพิเศษอยู่ที่สีของหน้าปัดและตัวเรือนเป็นเซรามิกสีดำ จับคู่กับสายยางสีเดียวกับตัวเรือน มาพร้อมขนาด 43 มิลลิเมตร เพียงขนาดเดียว ประดับชุดเข็มและหลักชั่วโมงไวท์โกลด์ 18K ที่เคลือบสารเรืองแสงเพื่อให้สามารถอ่านเวลาในที่มืดได้อย่างชัดเจน ส่วนด้านหลังเรือนตัวเรือนเผยให้เห็นการทำงานของกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 4309 ที่สามารถสำรองพลังงานได้นานสูงสุด 70 ชั่วโมง และผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 250 เรือนเท่านั้น ในราคา 1,360,000 บาท

ปิดท้ายด้วยรุ่นตัวเรือนไวท์โกลด์ 18K โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีน้ำเงินทาพิสเซอรี (Tapisserie) สี่เหลี่ยมนูน และมีรายละเอียดต่าง ๆ เหมือนกับรุ่นไทเทเนียม แต่เพิ่มความพิเศษโดยการประดับอัญมณีหลากสีที่เรียกว่า Harmony-cut (ฮาร์โมนีคัต) ไว้บนหน้าปัดและบนขอบตัวเรือน ทำให้นาฬิกาดูหรูหราเพิ่มขึ้นอีกระดับ มาพร้อมตัวเรือนไวท์โกลด์ 18K มีให้เลือก 2 ขนาด คือ 37 มิลลิเมตร จับคู่กับสายยางสีน้ำเงินตกแต่งลายโมเสก และขนาด 43 มิลลิเมตร จับคู่มากับสายยางสีน้ำเงินที่เข้ากับสีของหน้าปัดได้เป็นอย่างดี ด้านหลังตัวเรือนเผยให้เห็นการทำงานของกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 5909 โดยรุ่นที่มีขนาด 37 มิลลิเมตร จะสามารถสำรองพลังานได้ 60 ชั่วโมง และรุ่นที่มีขนาด 43 มิลลิเมตร จะสามารถสำรองพลังงานได้นาน 70 ชั่วโมง ส่วนราคายังไม่ถูกเปิดเผยยังเป็น Price on request

อ้างอิง : https://www.auctionhouse.co.th/blog/post/audemars_piguet_royal_oak_offshore_selfwinding_music_edition_2022_ah%20/