ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Rolex ด้วยฝาหลังขันเกลียวแบบโปร่งใส
29 Aug, 2023 / By
Sloanetimecollection
Rolex เฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ให้กับคอลเลกชั่น ‘Cosmograph Daytona’ ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1963 โดยชื่อ ‘Daytona’ มาจากชื่อสนาม ‘Daytona Speed Way’ ที่จัดการแข่งขันรถระดับโลกในรายการ NASCAR (National Association for Stock Car Auto Racing) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยคอลเลกชั่นนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ทั้งภายนอกและภายในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับคอลเลกชั่นนาฬิกาที่ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘King of Rolex Sport’ ตลอดกาล ในงาน Watches & Wonders 2023
เริ่มต้นด้วยหน้าปัดที่มีการวางรูปแบบใหม่ของหน้าปัดย่อยสำหรับบันทึกเวลาแบบ Tri-Compax สุดคลาสสิก ที่ถูกใช้บนหน้าปัดของนาฬิกา Rolex Cosmograph ตั้งแต่รุ่นแรกให้มีความสมดุลและกลมกลืนกันมากขึ้น รวมทั้งขอบ Bezel โลหะที่ผลิตจากวัสดุเดียวกับตัวเรือนที่ประกอบเข้ากับ Insert สลัก Tachymeter Scale ที่ผลิตจากวัสดุ Cerachrome ซึ่งให้ดูมีมิติมากขึ้น รวมทั้งตัวเรือนขนาด 40 มิลลิเมตร หนา 11.9 มิลลิเมตร กันน้ำลึก 100 เมตร ที่ถูกออกแบบใหม่หมด โดยมีเส้นสายของตัวเรือนที่คมเข้มมากขึ้นจากรุ่นเดิม เม็ดมะยมและปุ่มกดสำหรับระบบจับเวลาแบบขันเกลียว ใช้กระจกหน้าปัด Sapphire เคลือบตัดแสงสะท้อนทั้งสองด้าน
โดยความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด คือหัวใจใหม่ของ All New Cosmograph Daytona นั่นคือ กลไก Automatic Chronograph In-House Cal.4131 ความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง พร้อมฟังก์ชั่นจับเวลาต่อเนื่อง 12 ชั่วโมง ที่ควบคุมด้วยกลไก Column Wheel และ Vertical Clutch โดยมีการปรับปรุงทั้งด้านความเที่ยงตรง ทนทาน และความสวยงามด้วยการขัดแต่งลวดลาย Rolex Côtes de Genève ที่มิติเพิ่มมากขึ้นด้วยร่องเงาระหว่างลายขัด ใช้ Rotor สำหรับขึ้นลานอัตโนมัติด้วยวัสดุ Yellow Gold 18K ซึ่งผ่านการทดสอบความเที่ยงตรงระดับ Chronometer จากสถาบัน COSC และเพิ่มความพิเศษสุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Rolex ด้วยฝาหลังขันเกลียวแบบโปร่งใสในรุ่นตัวเรือน Platinum 950
สำหรับคอลเลกชั่น Cosmograph Daytona 2023 มีให้เลือกทั้งรุ่นตัวเรือนวัสดุ Stainless Steel, Steel + Gold, Yellow Gold18K, White Gold 18K, Everose Gold 18k และ Platinum 950 โดยรุ่นสาย Oyster มาพร้อมกับระบบ Oysterlock ป้องกันการปลดล๊อกสายโดยไม่ตั้งใจ และระบบ Easylink ที่สามารถขยายความยาวได้ 5 มิลลิเมตร สำหรับสาย Oysterflex มาพร้อมกับระบบ Guide Lock ที่สามารถปรับความยาวสายได้อย่างละเอียดขั้นละ 2.5 มิลลิเมตร สูงสุด 15 มิลลิเมตร โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ และสำหรับรุ่น Platinum 950 กับรุ่น Everose มีการใช้แกน Ceramic เพื่อความยืดหยุ่นในการใช้งานบนข้อมือและยืดอายุการใช้งาน ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Rolex